วันนี้พี่จะมาเล่าเรื่องการใช้ Verb to be หรือก็คือคำว่า is, am, are นั่นแหละ ฟังดูเหมือนง่ายใช่มั้ย แต่จริง ๆ แล้วมันมีความสำคัญมากเลยนะ เพราะเป็นพื้นฐานของการพูดและเขียนภาษาอังกฤษ ถ้าน้อง ๆ ใช้ถูก ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ และพอเข้าใจหลักมันดีแล้ว เวลาเจอประโยคต่าง ๆ ก็จะจับทางได้สบาย ๆ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า Verb to be เนี่ย เป็นเหมือนกาวเชื่อมประโยคในภาษาอังกฤษ มันไม่ได้มีความหมายชัด ๆ แบบ “เดิน, วิ่ง, กิน” อะไรพวกนั้นนะ แต่มันเอาไว้บอกว่า “เป็นอะไร”, “อยู่ที่ไหน”, หรือ “มีสภาพยังไง” ซึ่งในภาษาไทยก็จะเทียบได้กับคำว่า “เป็น, คือ, อยู่, มี” อะไรประมาณนี้เลย
ทีนี้ is, am, are จะใช้อันไหนก็ขึ้นอยู่กับประธานของประโยค หรือพูดง่าย ๆ ว่า ใครเป็นคนทำ หรือใครที่เรากำลังพูดถึงนั่นเอง
Verb to be กับ ประโยคบอกเล่า
ถ้าประธานเป็น I (แปลว่า ฉัน) เราจะใช้ am เช่น
- I am happy. (ฉันมีความสุข)
ถ้าประธานเป็น he, she, it หรืออะไรที่เป็นเอกพจน์ (พูดถึงคนหรือสิ่งของหนึ่งอย่าง) เราจะใช้ is เช่น
- She is a teacher. (เธอเป็นครู)
- It is cold today. (วันนี้อากาศหนาว)
แต่ถ้าประธานเป็น we, you, they หรือถ้าเป็นพหูพจน์ (มีหลายคนหรือหลายสิ่งของ) เราจะใช้ are เช่น
- We are friends. (พวกเราเป็นเพื่อนกัน)
- You are smart. (น้อง ๆ ฉลาดมากนะ)
- They are at the park. (พวกเขาอยู่ที่สวนสาธารณะ)
เห็นมั้ยว่าหลักมันง่ายมากเลย แค่ดูว่าประธานเป็นใคร แล้วเลือกใช้ให้ตรงแค่นั้นเอง
Verb to be กับประโยคปฏิเสธ
แต่ที่น่าสนใจคือ Verb to be มันไม่ได้เอาไว้ใช้แค่บอกเล่าอย่างเดียว น้อง ๆ ยังเอาไปใช้ในประโยคปฏิเสธ หรือประโยคคำถามได้ด้วยนะ เช่นถ้าอยากจะบอกว่าไม่ใช่ ก็เติม not เข้าไป
- I am not tired. (ฉันไม่เหนื่อย)
- He is not here. (เขาไม่ได้อยู่ที่นี่)
- They are not students. (พวกเขาไม่ใช่นักเรียน)
Verb to be กับ ประโยคคำถาม
ส่วนถ้าอยากถาม ก็แค่เอา is, am, are ขึ้นต้นประโยคเลย
- Are you ready? (น้อง ๆ พร้อมหรือยัง)
- Is she your sister? (เธอเป็นน้องสาวของคุณใช่ไหม)
- Am I late? (ฉันมาสายไหม)
พี่เชื่อเลยว่าถ้าน้อง ๆ ได้ลองฝึกใช้ไปเรื่อย ๆ มันจะติดเป็นนิสัยเองนะ เพราะภาษาอังกฤษเนี่ย พอได้ใช้จริง มันจะเข้าใจง่ายขึ้นมากเลย
Verb to be กับ รูปย่อ
ทีนี้หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วเวลาเขียนหรือพูดเร็ว ๆ เขาทำยังไง? ในภาษาพูดหรือเขียนไม่เป็นทางการ เรามักจะย่อมันเข้าไปด้วย เช่น
- I’m happy. (แทน I am happy.)
- You’re my friend. (แทน You are my friend.)
- She’s a doctor. (แทน She is a doctor.)
ตรงนี้ถ้าน้อง ๆ สังเกตเวลาอ่านนิยาย ดูหนัง หรือฟังเพลงฝรั่ง จะเจอบ่อยมาก ซึ่งการย่อแบบนี้ทำให้ภาษาฟังดูเป็นธรรมชาติขึ้น ไม่แข็งทื้อ
สรุปง่าย ๆ เลยว่า ถ้าน้อง ๆ อยากพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษให้น่าฟังและถูกหลัก ต้องเริ่มจากเข้าใจและใช้ Verb to be ให้คล่องก่อน เพราะมันเป็นเหมือนโครงกระดูกของประโยค ถ้าตรงนี้แน่น เวลาไปเรียนโครงสร้างประโยคแบบอื่น เช่น Continuous Tense หรือ Passive Voice จะง่ายมาก ๆ เลยล่ะ ใครที่ยังไม่คล่องก็ไม่ต้องกังวลนะ ลองฝึกแต่งประโยคง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันไปก่อน เช่น วันนี้รู้สึกยังไง อยู่ที่ไหน เจอใคร ทำอะไรอยู่ ลองคิดเป็นภาษาอังกฤษแล้วพูดออกมา หรือเขียนลงสมุดดู พอทำทุกวัน เดี๋ยวจะเริ่มชินเอง
วันนี้ก็จบไปแล้วอีกหนึ่งบทความดี ๆ จากพี่แอดมิน โดยเว็บไซต์ของพี่แอดมินยังมีเกียรติบัตรออนไลน์ฟรี ๆ จาก มหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานที่น่าเชื่อถืออีกมากมาย หลายวิชา เช่น ข้อสอบสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ แบบ CEFR คณิตศาสตร์ ภาษาจีน ให้ได้ทดสอบระดับความรู้ตัวเองกัน พร้อมทั้ง ข้อสอบวัดระดับความรู้ เพื่อช่วยให้น้อง ๆ ทดลองประเมินทักษะในแต่ละวิชาที่ตัวเองชอบได้ ข้อสอบมีตั้งแต่ระดับ ม.ปลาย ไปจนถึงมหาลัยเลยนะ และยังมีการอบรมออนไลน์ ผ่าน E-learning คอร์สเรียนออนไลน์ฟรี ได้ใบประกาศ ความรู้คอมพิวเตอร์ และ AI เท็มเพลตหน้าปก Portfolio สวย ๆ ไว้ให้น้อง ม.ปลายดาวน์โหลดไปใช้งานในการยื่นพอร์ตฯ TCAS การเรียนสมัครเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย และยังมีสาระน่ารู้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อีกด้วยนะ สามารถเลือกดูได้ที่แถบเมนูด้านบน หรือด้านข้างซ้ายบนในโทรศัพท์มือของน้อง ๆ โดยเกียรติบัตรออนไลน์จะมีมาจากหลายหน่วยงานทั้ง กศน มหาวิทยาลัยชั้นนำ และหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ทางพี่แอดมินจะอัพเดตเกียรติบัตรใหม่ เข้ามาในทุก ๆ วันเพื่อให้ทันเหตุการณ์ตลอดเวลา สุดท้ายพี่แอดมินขอขอบคุณน้อง ๆ ที่ให้ความสนใจในเว็บไซต์และบทความของพี่แอดมินครับ หากมีข้อแนะนำใด ๆ อย่าลังเลที่จะแจ้งพี่แอดมินนะ หากต้องการดูเกียรติบัตรใบอื่น ๆ หรือมีคำถามใด ๆ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่: ศูนย์รวมเกียรติบัตรออนไลน์ และแบบทดสอบออนไลน์ฟรี